ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของซิกมันด์
ฟรอยด์
ประวัติของซิกมันด์ ฟรอยด์
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนายแพทย์ จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาชาวออสเตรียเกิดเมื่อวันที่ 06 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 และเสียชีวิตเมื่อวันที 23 กันยายน ค.ศ. 1939 เป็นผู้สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual
ฟรอยด์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ
1.สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
2.สัญชาตญาณเพื่อความตาย
ฟรอยด์ได้กล่าวถึงพลังงานพื้นฐานทางจิตที่เรียกว่า Libido
ซึ่งเกิดมาพร้อมกับมนุษย์
พลังงานเหล่านี้เป็นแหล่งของแรงขับทางเพศของบุคคลทั้งหมด โดยเน้นว่าชีวิตเพศของมนุษย์มิได้เริ่มเมื่อวัยหนุ่มสาว หากแต่เริ่มมาตั้งแต่เด็กและจะค่อยๆ พัฒนาเปลี่ยนรูปแบบเป็นลำดับขั้นขึ้นไป แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามขั้นจะมีการชะงัก
(Fixation) หรือการถอยกลับ (Regression)
ทำให้มีผลสะท้อนไปถึงบุคลิกภาพตอนโต
กลุ่มจิตวิเคราะห์แนวความคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพตามความเชื่อของฟรอยด์ เขาเชื่อว่า อิทธิพลที่ทำให้เกิดบุคลิกภาพในตัวบุคคลนั้น ประกอบด้วยสิ่งที่สำคัญ 3 ประการคือ จิตใต้สำนึกและอิทธิพลของจิตใต้สำนึก (Unconscious) ฟรอยด์มีความเชื่อว่า สมองของคนเรานั้นทำงานอย่างมีกระบวนการ (Mind) โดยเขาได้แบ่งกิจกรรมของ Mind ไว้ 3 ระดับด้วยกันคือ
1. จิตรู้สำนึก (The Concious mind) หรือที่เราเรียกว่าสติสัมปชัญญะ
จะทำงานในขณะที่ร่างกายรู้สึกตัวดี ซึ่งเราสามารถควบคุมการทำงานของสมองส่วนนี้ได้
ยกเว้นเวลาเราเจ็บป่วยหรือนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาพหลอน
หรือเมื่อตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้
2. จิตก่อนสำนึก (The pre-concious mind) เนื่องจากจิตได้รับประสบการณ์ในชีวิตมามากมายหลายอย่าง
จนทำให้ไม่สามารถที่จะจดจำได้ทั้งหมด
สมองส่วนนี้ต้องเลือกจำในบางอย่างแต่บางอย่างอาจจะลืมไป
ซึ่งส่วนที่ลืมนี้บางครั้งกระตุ้นนิดเดียวก็จำได้ เช่น
การเก็บกดความรู้สึกที่ไม่พอใจจนกระทั่งลืม เช่น ลมชื่อคนบางคนที่เราไม่ชอบ
นึกชื่ออาจารย์ไม่ออก ลืมการนัดหมาย ถ้ารุนแรงอาจถึงขั้นเป็นโรค
เพื่อลืมเหตุการณ์ทุกอย่างในอดีต กระทั่งชื่อตัวเอง ว่าเป็นใครมาจากไหน เช่น
การพลั้งปากเรียกชื่อคนบางคน
3. จิตใต้สำนึก (The Unconciuos mind) เป็นขบวนการทำงานของสมองที่รวบรวมเอาความคิด
ความรู้สึก ความจำ ความปรารถนา และประสบการณ์ต่างๆเข้ามาในชีวิต
(รวมทั้งถ่ายทอดมาจากกรรมพันธุ์) และสิ่งนี้จะคงอยู่ตลอดชีวิต
ปกติจิตใต้สำนึกนี้ทำงานไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
นอกจากจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการสะกดจิต ยาบางชนิดหรือสิ่งมึนเมา
โครงสร้างบุคลิกภาพ
การทำงานของคนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้
โครงสร้างบุคลิกภาพ
ฟรอยด์มีความเชื่อว่า
ลักษณะจิตใจของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.
อิด (Id)
เป็นพลังจิตฝ่ายต่ำ
เป็นเสมือนแรงจูงใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความต้องการของร่างกาย
เป็นความอยากที่ทำให้บุคคลทำสิ่งต่างๆตามใจชอบเป็นส่วนที่อยู่ในจิตรู้สำนึก
(Concious mind) ทำอะไรตามที่สัญชาติญาณเรียกร้อง เช่น
แรงขับทางเพศ (Sexual instinct) เป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่ง
ฟรอยด์เรียกว่า Libido การทำงานของอิด อยู่ภายใต้หลักของความพอใจ
(Principle of pleasure) เป็นส่วนใหญ่
2. อีโก้ (Ego )
เป็นสิ่งที่จะทำให้อิดบรรลุตามจุดมุ่งหมาย เป็นพลังจิตอีกระดับหนึ่งซึ่งพัฒนาสูงขึ้นมา
โดยทำหน้าที่ที่สำคัญ 3 ประการ คือ
-
ควบคุมความต้องการอันไม่พึงประสงค์ของสังคมไว้
- พยายามไม่ให้เกิดความทุกข์จากการเก็บกดความต้องการเหล่านั้น
โดยอาศัยกลไกของการปรับตัว (Defense mechanism)
- ทำตนให้เป็นผู้บรรลุวุฒิภาวะสูงสุดเท่าที่จะทำได้
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superego)
เป็นพลังจิตฝ่ายสูง เป็นส่วนที่เป็นมโนธรรมและศีลธรรม
โดยได้รับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดาของตน
โดยตั้งเป็นมาตรการความประพฤติ มาตรการนี้จะเป็นเสียงแทนบิดามารดา
คอยบอกว่าอะไรควรทำหรืออะไรไม่ควรทำ
มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้มาจากกฎเกณฑ์ต่างๆที่พ่อแม่คอยสั่งสอนและมักจะเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมและค่านิยมต่างๆของพ่อแม่
การทำงานของคนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้
พัฒนาการทางเพศ
ฟรอยด์
(Freud, 1962) ได้เน้นถึงหน้าที่ของ
Superegoในระยะที่เด็กต้องแก้ปมออดิปุส (Oedipus
complex) มีดังนี้
1. เด็กแรกเกิดรักตนเอง (Narsisism)อยากให้ตนเองได้รับความสุข ต้องการได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม
ยังไม่รู้จักรักคนอื่น
2. บุคคลที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นคนแรกคือ
แม่ ทำให้เด็กรักและหวงแหนแม่เป็นคนแรก เด็กกลัวเสียความรักจากแม่
3. เด็กเรียนรู้ว่า พ่อมีอำนาจที่จะแย่งความรักของแม่ไปจากตน
พ่อกลายเป็นคนแข่งที่สำคัญมาก
4. เด็กรู้ว่าตนเองด้อยกว่าพ่อทุกอย่าง ไม่มีโอกาสที่จะแข่งดีกับพ่อ
จึงต้องการให้พ่อตายจากไปเสีย (ฟรอยด์เปรียบเทียบเช่นเดียวกับนิยายกรีก เรื่อง
ออดิปุส ที่ได้ฆ่าพ่อแล้วแต่งงานกับแม่โดยไม่รู้ว่าบุคคลทั้งสองเป็นพ่อแม่ของตน)
ฟรอยด์จึงเรียกลักษณะปมยุ่งยากทางจิตตอนนี้ว่า Oedipus complex
5.
Super ego จะเป็นพลังจิตที่คอยบอกให้ทราบว่าความต้องการที่จะให้พ่อตายนั้นเป็นบาป
จึงเกิดการสกัดกั้นให้ความต้องการนั้นจมไปสู่จิตไร้สำนึก
6. หลักแห่งความจริง (Principle of reality) สอนให้เด็กเปลี่ยนวิธีใหม่
คือ
เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็ตีสนิทเป็นพวกเดียวกัน โดยวิธีที่เรียกว่า
เด็กชายทำได้ดีเพราะเป็นเพศเดียวกับพ่อ
ระยะที่เด็กต้องแก้ปมอิเล็คตรา
(Electra complex) มีดังนี้
เด็กหญิงนั้นทำตัวเป็นเพศเดียวกับพ่อไม่ได้
เพราะเป็นคนละเพศ จึงหันมาสังเกตว่า พ่อก็รักแม่
เด็กหญิงจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้กลไกป้องกันตน โดยเก็บความรู้สึกต้องการของตน
ดังนั้นจึงทำตัวเลียนแบบเหมือนแม่ เพื่อที่จะได้รับความรักจากพ่อด้วย
จึงปฏิบัติหน้าที่ “ผู้หญิง” เช่นเดียวกับแม่สืบไป
ฟรอยด์เชื่อว่าวัยเด็กนี้
เรียนรู้ที่จะแยกเพศและเลียนแบบการเป็นผู้หญิงผู้ชายในช่วงระยะนี้
ครอบครัวใดมีการทะเลาะกันบ่อยๆ พ่อเมาทุบตีแม่
สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อพัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพต่อไป เช่น
เด็กผู้หญิงอาจเกิดความรู้สึกเกลียดผู้ชายอย่างฝังใจ หรือเด็กผู้หญิงบางคนมีความรู้สึกไม่อยากเป็นผู้หญิง
เพราะเป็นผู้หญิงแล้วถูกรังแก จึงพยายามทำตัวให้เข้มแข็งมีบุคลิกภาพคล้ายผู้ชาย (tomboy) ส่วนเด็กผู้ชายประกอบด้วยความสงสารแม่
เด็กชายก็จะทำตนเหมือนแม่ พยายามทำตัวนุ่มนวล มีลักษณะคล้ายผู้หญิง (sissy)
ขั้นพัฒนาการทางเพศ
ฟรอยด์ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางเพศไว้ 5
ขั้นตอน คือ
1. ขั้นความสุขความพอใจบริเวณปาก (Oral Stage)
2. ขั้นความสุขความพอใจบริเวณทวารหนัก (Anal stage)
3. ขั้นความพอใจบริเวณอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นก่อนวัยรุ่น (Latency Stage)
5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage)
1. ขั้นความสุขความพอใจบริเวณปาก (oral stage)
มีอายุอยู่ในช่วงแรกเกิด-18 เดือนหรือวัยทารก
ความพึงพอใจของวัยนี้จะอยู่ที่บริเวณช่องปาก ทารกพึงพอใจกับการใช้ปากทำกิจกรรมต่าง
ๆ เพื่อให้เกิดความสุข เช่น การดูด กลืน
2. ขั้นความสุขความพอใจบริเวณทวารหนัก (anal stage
มีอายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี วัยนี้จะได้รับความพึงพอใจจากการขับถ่าย
3. ขั้นความพอใจบริเวณอวัยวะเพศ (phallic or oedipal stage)
จะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 3 ถึง 5 ปี
ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่ที่อวัยวะสืบพันธุ์
เด็กจะสนใจอวัยวะเพศของตนและสนใจความความแตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย
4. ขั้นแฝงหรือขั้นก่อนวัยรุ่น (latency stage)
มีอายุอยู่ในช่วง 7
ถึง 14 ปี ฟรอยด์กล่าวว่าเด็กวัยนี้จะมุ่งความสนใจไปที่พัฒนาการด้านสังคมและด้านสติปัญญา
เป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้การมีเหตุผล รู้ผิดชอบชั่วดี สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้ามหรือขั้นวัยรุ่น (genital stage)
วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 12
ปีขึ้นไป เด็กเริ่มสนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น มีความต้องการทางเพศ
ความเห็นแก่ตัวลดลงต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่ เป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น